26.6.50

☁ sequence of the cloud 2 ☁




sequence of the cloud 2

มื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้าในแต่ละวัน จะพบเมฆซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานทาง ด้านอุตุนิยมวิทยาเมื่อมองเห็นเมฆในท้องฟ้า บางครั้งอาจจะมองเห็นเป็นรูปร่างต่า
งๆ ตามจินตนาการของแต่ละคน สำหรับในทางอุตุนิยมวิทยาแล้ว จะมีหลักเกณฑ์ในการแบ่งชนิดของเมฆ โดยแบ่งตามความสูงที่เมฆเหล่านั้นเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศ
ซึ่ง sequence ของก้อนเมฆที่ผมสนใจก็คือรูปแบบของการเรียงตัวต่อกันเป็นชั้นๆของก้อนเมฆ
เนื่องจากก้อนเมฆมีการเคลื่อนตัวตลอดเวลา เพื่อรอเวลามาจับกลุ่มรวมตัวกัน โดยที่นี่คือระบบการรวมตัวกันที่มีลักษณะรูปแบบการเกาะกลุ่มกันเป็นวัฒจักรตามธรรมชาติของไอน้ำ ซึ่งกลายเป็นฝนในเวลาต่อมานั่นเอง และการเกาะกลุ่มกันเป็นชั้นๆนี่เอง ทำให้เราสามารถแยกเมฆออกได้ 4 ชนิดด้วยกัน



เมฆชั้นสูง (High Clouds)

ในบริเวณแถบโซนร้อนจะอยู่ที่ความสูง 6,000 - 18,000 เมตร (20,000 - 60,000 ฟุต) ขึ้นไป เป็นเมฆซึ่งไม่ทำให้เกิดฝนเลย มีสีขาวเจิดจ้า ดวงอาทิตย์สามารถส่องผ่านได้อย่างดี และจะแผ่ออกไปเป็นแผ่นเยื่อบางๆ ต่อเนื่องเป็นแผ่นตามทิศทางของลมในระดับสูง

เมฆชั้นกลาง (Middle Clouds)
ในบริเวณแถบโซนร้อนจะอยู่ที่ความสูงระหว่าง 2,000 - 8,000 เมตร (6,500 - 26,000 ฟุต)
ในบางครั้งเมฆชั้นนี้เกิดขึ้นจากการเคลื่อนตัวในลักษณะลูกคลื่นของลม ทำให้เกิดมีรูปร่างคล้ายกับจานบินหรือแผ่นเลนส์นูน

เมฆชั้นต่ำ (Low Clouds)

ในบริเวณแถบโซนร้อนจะอยู่ที่ความสูงไม่เกิน 2,000 เมตร (ผิวพื้น - 6,500 ฟุต)
มีลักษณะเป็นก้อนกลมเรียงติดกันเป็นแถวๆ รวมกันคล้ายคลื่น บางครั้งอาจจะแยกตัวออกเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยก้อนเล็ก ๆ จำนวนมาก

เมฆก่อตัวในทางตั้ง (Clouds with Vertical Development)
มีความสูงของฐานเมฆประมาณ 500 เมตร (1,600 ฟุต) ส่วนยอดเมฆ มีความสูงไม่แน่นอน บางครั้งสูงถึงระดับเมฆชั้นสูง มีลักษณะเป็นเมฆหนาก้อนใหญ่ ก่อตัวสูงมาก บางครั้งยอดเมฆจะแผ่ออกเป็นรูปทั่ง ทำให้เกิดฝนตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง บางครั้งมีลูกเห็บตก จึงมักถูกเรียกว่า เมฆฝนฟ้าคะนอง


1 ความคิดเห็น:

EGARAJ_BQ กล่าวว่า...

แก้ทำไมวะ ของเก่าก็ดีแล้ว clound แหม่ทำไปได้